
ศตวรรษที่ 18 เป็นยุคทองของความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในอิตาลี การปฏิวัติโอเปร่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงทั้งการหันมาสนใจดนตรีคลาสสิกและความไม่พอใจต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โอเปร่า ซึ่งเดิมทีเป็นรูปแบบบันเทิงสำหรับชนชั้นสูง กลายเป็นศิลปะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อิตาลีในยุคนั้นกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรง ชนชั้นล่างถูกกดขี่ และเสียงของพวกเขานั้นแทบจะไม่ได้รับการยินยอม
การกำเนิดของโอเปร่าสมัยใหม่สามารถสืบย้อนไปได้ถึงงานของ Claudio Monteverdi โอเปร่าเรื่อง L’Orfeo (1607) ของเขาถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่นำมาตรฐานใหม่ให้กับดนตรีและโรงละคร
โอเปร่าของ Monteverdi โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างเสียงร้องและเครื่องดนตรีอย่างลงตัว และเนื้อเรื่องที่ดัดแปลงมาจากตำนานกรีก โอเปร่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแต่งเพลงรุ่นต่อมา
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 17 โอเปร่าเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอิตาลี และมีการจัดแสดงโอเปร่ามากมายขึ้นทั่วประเทศ นักแต่งเพลงคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ Alessandro Scarlatti, Antonio Vivaldi และ Georg Friedrich Handel
โอเปร่าในช่วงเวลานี้มักจะมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความสูญเสีย และชะตากรรม ในขณะที่ดนตรีก็มีลักษณะเป็นเมโลดี้ที่ไพเราะและง่ายต่อการจดจำ
ชื่อนักแต่งเพลง | ผลงานโอเปร่าที่โดดเด่น |
---|---|
Alessandro Scarlatti | Il Pompeo (1707) |
Antonio Vivaldi | Orlando furioso (1727) |
Georg Friedrich Handel | Giulio Cesare (1724) |
การปฏิวัติโอเปร่าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในแง่ของดนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏิวัติทางสังคมด้วย โอเปร่าเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมได้มากขึ้น และช่วยสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ชม
โอเปร่ามักจะนำเสนอเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนธรรมดา ทำให้ผู้ชมสามารถ empathize กับตัวละครในเรื่องได้ โอเปร่ายังเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วย นักแต่งเพลงบางคนใช้โอเปร่าเป็นเครื่องมือในการวิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ การปฏิวัติโอเปร่ายังส่งผลต่อการพัฒนาของดนตรีคลาสสิกในยุโรปด้วย โอเปร่าของนักแต่งเพลงชาวอิตาลีได้ถูกนำไปแสดงในประเทศอื่น ๆ ทั่วทวีป และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
โอเปร่ายังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแต่งเพลงรุ่นหลัง เช่น Wolfgang Amadeus Mozart, Ludwig van Beethoven และ Giuseppe Verdi
การปฏิวัติโอเปร่าในอิตาลีจึงไม่ใช่เพียงแค่ปรากฏการณ์ทางดนตรีเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวงของยุโรปในศตวรรษที่ 18